ต้งบอกเลยว่าการเมืองในประเทศไทยยังคงเป็นที่น่าจับตามอง จนทำให้หลายฝ่ายต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย ล่าสุด ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์นิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ได้ออกมาโพสต์ข้อความแนบ 115 รายชื่อ คณาจารย์นิติศาสตร์ จาก 19 สถาบัน ว่า ” #แถลงการณ์จาก 115 คณาจารย์นิติศาสตร์ 19 สถาบัน
เรื่อง #ไม่เห็นด้วยกับมติของรัฐสภา ที่ให้ #ข้อบังคับการประชุมรัฐสภาใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ จากการลงมติของรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา
ในการตีความข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ให้ “การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี” ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 159 เป็น “ญัตติ”
ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 41 ซึ่งกำหนดว่า “ญัตติใดตกไปแล้ว ห้ามนำญัตติซึ่งมีหลักการเช่นเดียวกันขึ้นเสนออีกในสมัยประชุมเดียวกัน”
การเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่สองจึงทำไม่ได้ นั้น คณาจารย์นิติศาสตร์ตามรายชื่อข้างท้าย
เห็นว่ามตินี้มีความไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมายหลายประการ ดังจะได้กล่าวดังต่อไปนี้
1. “ญัตติ” ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ.2563 ข้อ 41 นั้น หมายถึง “ญัตติ” ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมรัฐสภาเท่านั้น
ซึ่งข้อ 29 กำหนดว่า “ญัตติทั้งหลายต้องเสนอล่วงหน้าเป็นหนังสือต่อประธานรัฐสภา และต้องมีสมาชิกรัฐสภารับรองไม่น้อยกว่าสิบคน”
ดังนั้น “ญัตติ” ที่ตกไปแล้วที่เสนอซ้ำไม่ได้จึงหมายถึง “ญัตติ” ตามข้อ 29 ที่ต้องการ ส.ส.รับรองเพียง 10 คน เท่านั้น
เหตุผลที่ข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 41 ให้เสนอ “ญัตติ” ซ้ำไม่ได้ เพราะ “ญัตติ” ใช้เสียง ส.ส.สนับสนุนเพียง 10 คนเท่านั้น
ถ้าเสนอซ้ำๆ ได้ แม้จะตกไปแล้ว จะทำให้มีญัตติซ้ำๆ มากเกินไป ซึ่งชอบด้วยเหตุผลที่ควรจะเสนอได้เพียงครั้งเดียวในสมัยประชุมหนึ่งๆ
ส่วนการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นเรื่องที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นการเฉพาะ ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560
มาตรา 159 วรรคสอง บัญญัติว่า “ต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร”
ซึ่งก็คือ 50 คน ไม่ใช่ต้องการ ส.ส.รับรองแค่ 10 คนดังเช่นการเสนอ “ญัตติ” ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อ 29 ดังนั้น
การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจึงไม่ใช่ “ญัตติ” ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 41
2. ที่สำคัญคือรัฐธรรมนูญ มาตรา 159 และมาตรา 272 ไม่ได้บัญญัติไว้แต่ประการใดว่าการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนเดิมจะกระทำไม่ได้
ส่วนควรจะเสนอคนเดิมหรือไม่หรือจะเสนอกี่ครั้งเป็นอีกเรื่องหนึ่ง การที่รัฐสภาลงมติให้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนเดิมได้เพียงครั้งเดียว
เป็นการเอาข้อบังคับการประชุมรัฐสภามาอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่อาจที่จะกระทำได้
3. ตามลำดับชั้นของกฎหมายนั้น รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด กฎหมายในลำดับต่ำกว่าไม่ว่าจะเป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ
ซึ่งออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ กฎหมายลำดับรองที่ออกโดยฝ่ายบริหาร รวมถึงข้อบังคับการประชุมรัฐสภาซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ในการประชุมของรัฐสภา
และใช้กับรัฐสภาเท่านั้น ต้องไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หาไม่แล้วย่อมใช้บังคับมิได้ ดังที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560
มาตรา 5 ว่า “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ
หรือการกระทใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้” ข้อบังคับการประชุมรัฐสภาจึงจะอยู่เหนือกว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้
4. ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อ 41 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แต่เป็นปัญหาเรื่องรัฐสภาการตีความข้อบังคับของตนเอง
โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ แม้รัฐสภาจะสามารถตีความข้อบังคับของตนเองได้ตามที่กำหนดไว้ในข้อ 151 แต่ต้องเป็นการตีความข้อบังคับโดยไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
เพราะข้อบังคับการประชุมรัฐสภาอยู่ในลำดับชั้นกฎหมายที่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ และแท้ที่จริงแล้วมติของรัฐสภาที่ตีความว่าการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 159
และมาตรา 272 อยู่ในบังคับของข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อ 41 นั้นเป็นการ “ตีความรัฐธรรมนูญ” ว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 159
และมาตรา 272 อยู่ใต้ข้อบังคับของรัฐสภา ซึ่งรัฐสภาหาได้มีอำนาจที่จะทำเช่นนั้นไม่
5. ผลของการลงมตินี้ไม่ใช่แค่เรื่องของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล แต่คือบรรทัดฐานที่ผิดพลาดของรัฐสภา
ในการพิจารณาญัตติที่เป็นกระบวนการตามรัฐธรรมนูญ ที่จากนี้ไปจะเสนอได้ครั้งเดียวทั้งหมด โดยไม่สนใจเรื่องลำดับชั้นของกฎหมาย
และที่สำคัญที่สุดคือบรรทัดฐานที่เสียงข้างมากของรัฐสภาสามารถตีความข้อบังคับการประชุมของตนเองให้ใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดได้
คณาจารย์นิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ตามรายชื่อข้างท้าย เห็นว่ามติของรัฐสภาในวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ที่ให้ข้อบังคับการประชุมรัฐสภาใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ
เป็นการเอาการเมืองมาอยู่เหนือหลักกฎหมาย และขัดต่อรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุด จึงขอเรียกร้องให้รัฐสภายกเลิกมตินี้
หาไม่แล้วการเรียนการสอนนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในเรื่องลำดับชั้นของกฎหมาย และหลักการปกครองโดยกฎหมาย
ที่มีหลักรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ยากที่จะดำเนินโดยปกติในประเทศไทยต่อไปได้24 กรกฎาคม 2566
ขอบคุณข้อมูล:Prinya Thaewanarumitkul